การทำไร่ข้าว
ความสำคัญ
การแบ่งเขตพื้นที่ในชุมชนอ่าข่านั้นเริ่มจากตั้งแต่ประตูหมู่บ้าน ศาลพระภูมิประจำหมู่บ้าน แล้วจึงเข้าสู่เขตป่าชุมชนหรือที่เรียกเป็นภาษาอ่าข่าว่า “ญา คุ้ม ตือ” ดัง นั้น การบุกเบิกพื้นที่เพื่อทำไร่ในแต่ละปีของชาวอ่าข่านั้นสามารถทำได้ในบริเวณ พื้นที่ที่ชุมชนกำหนดเท่านั้น คือพื้นที่ทำมาหากินอยู่นอกพื้นที่ ญา คุ้ม ตือ เสอม เมื่อได้ทำการบุกเบิกพื้นที่ทำไร่แล้วก็ทำการเพาะปลูกในพื้นที่ดังกล่าวอีกหนึ่งหรือสองฤดูการผลิต ก่อนจะย้ายไปบุกเบิกที่แห่งใหม่ ดังนั้น ระบบการทำไร่ของคนอ่าข่าจึงเป็นแบบไร่หมุนเวียน
ก่อนที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับฤดูกาลทำงานแต่ละช่วง ต้องเข้าใจถึงภูมิปัญญาเกี่ยวกับการทำไร่ของคนอ่าข่า ซึ่งมีรูปแบบการทำไร่อยู่ ๒ แบบ คือ ทำไร่แบบ “ญ้านะ” กับ “ ญ้าเพ่อ” ดังนี้
๑) การทำไรแบบญ้านะ เป็นการบุกเบิกพื้นที่ใหม่ ด้วยการตัดโค่นต้นไม้และฟันต้นหญ้า แล้วจึงทำการเผา ทั้งนี้ เศษลำต้นและกิ่งไม้ที่เหลือจากการเผา เรียกว่า “ญ้า จี จี เออ” จะถูกตัดมากองแล้วทำการเผาใหม่อีกรอบ หรือเก็บไปทิ้งให้พ้นบริเวณไร่ ฉะนั้นหมายความของคำว่า “ญ้า” ที่แปลว่าไร่ กับคำว่า “นะ” ที่แปลว่าดำ จึงหมายถึงไร่ที่เกิดจากการเผาต้นและกิ่งไม้ให้ไหม้จนดำและกลายเป็นเถ้าถ่าน นั่นเอง ทั้งนี้ เถ้าถ่านที่ถูกเผาไหม้จะกลายเป็นปุ๋ยและเป็นธาตอาหารอย่างดีให้กับพืชที่เรา ทำการปลูก
๒) ญ้าเพ่อ คำนี้มีความหมายดังนี้ “ญ้า” แปลว่าไร “เพ่อ” แปลว่าเปื่อย ดัง นั้น ญ้าเพ่อ จึงหมายถึงไร่เปื่อย ซึ่งหมายถึงไร่ที่ผ่านการถางและเพาะปลูกมาเมื่อปีที่แล้ว เหตุผลที่ยังคงทำการเพาะปลูกในไร่ผืนเดิมอีกในปีถัดไปนั้น ประการแรกคือ ในไร่ยังคงเต็มไปด้วยพืชผักพื้นบ้านสำหรับการบริโภค เช่น พริก ผักชีฝรั่ง หอมชู แซ้กู่ (เครื่องปรุงชนิดนี้มีปลูกเฉพาะคนอ่าข่าเท่านั้น) งา และพืชตระกูลถั่ว ฯลฯ ประการที่สอง แม้ว่าปุ๋ยหรือธาตุอาหารอาจน้อยลงไปในปีที่สอง แต่ต้นพืชที่ปลูกก็ยังสามารถเจริญงอกงามอยู่ แต่ในส่วนของการใช้แรงงานและระยะเวลาในการตัดโค่นและเตรียมความพร้อมในการ ปลูกนั้นน้อยกว่าการทำไร่ผืนใหม่ ประการที่สาม กระท่อมและศาสนสถานที่มีอยู่ในไร่ คือ “ยาชุ้ม” หรือเพิงที่สร้างไว้หลบแดดและฝน กับ “ยาชุ้ม ฮึ่มผี่” หรือศาลเจ้าประจำไร่ นั้นไม่จำเป็นต้องทำใหม่ เพียงแต่ปรับปรุงของเดิมก็ใช้ได้แล้ว
อุปกรณ์ในการทำไร่
- มีด หรือ “มี แช้”
- จอบ หรือ “แช มา”
- จอบเล็ก หรือ “หละ เง่อ”
- เคียว หรือ “แย หว๊อด”
- ขวาน ซึ่งมีสองชนิดคือ “เดอ ห่า” กับ “เดอ หาเบี๊ยะ “
- เสื่อที่สานจากไม้ไผ่ หรือ “ก่อ ภู” ใช้ปูพื้นเวลานวดข้าว
- แผ่นไม้กระดาน หรือ “แช้ ตี่ หละ ขว๊อด” ที่ทำมาจากเนื้อแข็ง เอาไว้ตีนวดข้าว
- ตอกไผ่ ใช้มัดกองฟาง หรือใช้ในขั้นตอนอื่น ๆ เกี่ยวกับการทำไร่
ขั้นตอนในการทำไร่ข้าวของชาวอาข่า
เมื่อ ได้เลือกพื้นที่ในการปลูกข้าวแล้ว ในกรณีของไร่ใหม่ก็จะเริ่มทำการถางต้นหญ้าและโค่นต้นไม้ ส่วนกรณีไร่เก่าจะถางเพียงตอข้าวที่ค้างจากปีที่แล้ว โดยทำระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมหรืออาจเลยถึงเดือนเมษา ภายหลังจากทำการเผาแล้วจะมีการเตรียมดินด้วยการใช้จอบขุดพลิกหน้าดินแล้วทุบให้ละเอียดเพื่อทำลายรากหญ้าคา การเตรียมพื้นที่ในลักษณะนี้คนอ่าข่าเรียกว่า “หมี้ ลี่ ลี่ เออ”
เดือนพฤษภาคม ฝนเริ่มเทลงมา ทันใดที่เม็ดฝนแรกลงสู่พื้นดิน คนอ่าข่าถือว่าฤดูกาลแห่งการทำงานได้เริ่มขึ้นแล้ว ชาวบ้านก็เตรียมเมล็ดข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ตลอดจนพันธุ์พืชอื่นๆ เช่น อ้อย มันเทศ ทานตะวัน กระเจี๊ยบ แตงกวา ฯลฯ ไว้ และแล้วเทศกาล “แช่ คา อะเผ่ว” หรือเทศกาลปลูกข้าวก็มาถึง “โจ่วมา” ซึ่งเป็นผู้นำด้านบพิธีกรรมของชุมชนจะเริ่มต้นทำการปลูกหว่านลงดิน แล้วจึงตามด้วยชาวบ้านครอบครัวอื่น ๆ ที่มีความพร้อม
เมื่อหว่านข้าวหรือทำการปลูกพืชพันธุ์อื่นๆ ก็จะคอยดูแลไม่ให้วัชพืชอื่นๆขึ้นมารับแสงแดดสูงกว่า คอยตัดหรือถอนหญ้าให้ ซึ่งในช่วงนี้ก็มีการเอามื้อเอาแรงกันอย่างสนุกสนานครึ้มเครงกัน
จาก เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม เป็นช่วงของการทำงานอย่างหนัก คอยดูแลและกำจัดวัชพืชกับศัตรูพืชในไร่ข้าว และจับตาเฝ้าคอยการเจริญเติบโตของต้นข้าวและต้นพืชอื่น ๆ ที่จะออกผลตามมาอย่างตื่นเต้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จในครึ่งปีแรกกับเป็นการรอคอยผลผลิตข้าวที่จะตามมา คนอ่าข่ามีการจัดเทศกาลโล้ชิงช้า หรือ “แย้ ขู่ จา เออ” ประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม ในเดือนกันยายนนี้เช่นกัน คนอ่าข่าจะมีการเชิดชูผู้นำตำแหน่งทางวัฒนธรรมที่คอยช่วยเหลือทั้งในด้านพิธีกรรมและคำแนะนำในการปลูกพืชพันธุ์ ด้วยการจัดเทศกาล “ยอ ลา ลา-เออ อะเผ่ว”
ปลายเดือนตุลาคมมีพิธีกรรมเพื่อแบ่งปันผลผลิตที่ได้มาให้กับผู้นำพิธีกรรม หรือโจ่วมา นั่นคือ “ค๊ะ แย แย อะเผ่ว” เด็กมักทำรูปมีด หอก ปืน ทาด้วยสีต่าง ๆ ขึ้นบ้านชาวบ้านทั่วไป การขึ้นต้องขึ้นบ้านประตูเข้าและออกทางประตูออก เมื่อไปในบ้าน เจ้าบ้านจะเตรียมแตงไว้ให้เด็ก โดย เด็ก ๆ จะร้อง “โช๊ะ โว” แล้วเดินไปตามทุกหลังคาเรือนในชุมชน นอก จากเป็นการแบ่งปันผลผลิตจากไร่กันแล้ว ยังมีความเชื่อว่าการที่เด็กที่ถือศาสตราวุธดังกล่าวนั้นเป็นการช่วยขับไล่ สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในบ้านออกไป
ประมาณ เดือนพฤศจิกายน รวงข้าวจะสุกเต็มที่เป็นสีทอง ชาวบ้านจะเตรียมอุปกรณ์ เช่น เคียว เสื่อไม้ไผ่หรือก่อภู และไม้นวดข้าวหรือ แช้ ตี่ หละ โง้ะ แต่ก่อนที่จะลงมือเกี่ยวข้าวหรือจะเด็ดทานตะวันและอ้อย(ซา หล่อง)มากิน จะต้องทำพิธีกรรม “ห่อ สึ จ่า เออ” หรือการกินข้าวใหม่ พิธีกรรมกินข้าวใหม่ต้องเริ่มจากบ้านผู้นำพิธีกรรมชุมชนก่อน จากนั้นจึงตามด้วยครอบครัวอื่น ๆ ที่มีความพร้อม
เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ จะปล่อยให้ตากแห้งไม่เกินประมาณ ๑ สัปดาห์ จากนั้นจึงนำมากอง หรือ “แช้ ปยุ้ม” แล้วทำการตีหรือนวดข้าว และแบกข้าวกลับสู่ยุ้งฉางที่บ้าน ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน หรืออย่างช้าต้นเดือนธันวาคม
ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง
คนอาข่าถือว่าทุกอย่างมีเจ้าที่ ไม่ว่าจะเป็นผืนแผ่นดิน ต้นไม้ อากาศ ลม น้ำ ฯลฯ ย่อมมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เป็นต้นว่าในดินมีไส้เดือน ในน้ำมีปลา ในอากาศมีนกและสัตว์อื่นๆ ดังนั้น การเตรียมพื้นที่การทำไร่อาจทำให้สิ่งมีชีวิตต้องตาย หรืออาจทำให้เจ้าที่โกรธเคือง จึงต้องทำพิธี “หมี่ จ่า คือ หมี เลอ-เออ” ซึ่งเป็นพิธีกรรมระดับชุมชน เพื่อขออโหสิกรรมกับสิ่งมีชีวิตและเจ้าที่
ที่มา: http://www.cesd-thai.info/index.php?m=museum-view&eID=3&lang=th
- 23 ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย
- เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
- จดหมายจากชนเผ่าถึงลูกพระยา
- แถลงการชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
23 ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย
หลายๆท่านอาจไม่รู้จักชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งหลังๆมานี้จะมีพี่น้องชนเผ่าพื้นเมือง...More
เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
ชนเผ่าพื้นเมือง คือ กลุ่มชนที่มีจำนวนประชากรขนาดเล็ก มีวิถีการดำเนินชีวิตที่ผูกพันและใกล้ชิดกับธรรมชาติ...More
จดหมาย จากชนเผ่าถึงลูกพระยา
ชนเผ่าพื้นเมืองไทย 23 เผ่า (กะเหรี่ยง ขมุ คะฉิ่น ชอง ไททรงดำ ไทลื้อ-ไทยอง ไทยวน ไทใหญ่ ไตหย่า บีซู ปะหล่อง ...More
แถลงการชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
ตามที่รัฐบาลโดยนายเฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการมหาดไทย ได้ประกาศนโยบายทำสงครามปรามปราบยาเสพติด..More
0 Comments:
แสดงความคิดเห็น