มอเตอร์ไซค์เก่า ๆ คันหนึ่ง ซึ่งผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝนตามเส้นทางลาดชันของดอยต่าง ๆ มาหลายพันกิโลเมตร ได้นำพาชีวิตของครูชาวปกากะญอคนหนึ่ง ไปสร้างชีวิต และปลูกจิตสำนึกให้กับเด็ก ๆ และเยาวชนอีกนับร้อยนับพัน เพื่อไม่ให้ลืมรากเหง้า และวิถีชีวิตของตัวเอง และนี่คือเรื่องราวดี ๆ ของ "ครูเจต บุญเป็ง" ลูกหลานชนเผ่าปกากะญอแห่งหมู่บ้านริมลำน้ำกก จังหวัดเชียงราย
"จำนวนคนกะเหรี่ยงที่เรียนจบปริญญาตรีสูงมาก แต่การไปใช้ชีวิตแบบคนในเมือง ทำให้เด็ก ๆ ของเราลืมรากเหง้าและวิถีบรรพบุรุษ ไปหลงยึดติดในสังคมวัตถุนิยม" นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไม ครูเจต บุญเป็ง จึงเลือกที่จะควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจ พร้อมกับเสื้อสีแดงแบบปกากะญอที่เรียกว่า "เชกวา กวอ" ซึ่งบ่งถึงความเป็นชาติพันธุ์ ตระเวนไปตามดอยต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เผ่าชนถูกกลืนหายไปกับกระแสของความแก่งแย่งในเมือง โดยมีศาสนาคริสต์ที่ครูเจตนับถือเป็นเครื่องชี้นำทาง
ครูเจต เล่าว่า จริง ๆ แล้วแต่ก่อนตัวเองก็เป็นหนึ่งคนที่สนุกกับชีวิตในเมือง มัวแต่สร้างเนื้อสร้างตัวให้ตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาหันกลับมามองตัวเอง และคิดได้ว่าชีวิตทางโลกไม่จีรัง เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตของตัวเองด้วยการเดินทางมาอาศัยอยู่ที่บ้านจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลที่สุด และคนในหมู่บ้านนี้ยังยึดถือขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอยู่กว่า 90% โดยมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า หากมีแต่ศรัทธา แต่ไม่มีเงิน เขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้ไหม
ก้าวแรกของครูเจต เริ่มต้นด้วยการขับขี่รถคู่ใจเข้าไปตามซอกหลืบของหุบเขาต่าง ๆ ที่มีหมู่บ้านซุกซ่อนตัวอยู่ โดยเอาความเป็นลูกหลานปกากะญออย่างเต็มตัวเป็นเครื่องผูกมิตรไมตรีกับชาวบ้านปกากะญอตามพื้นที่ต่าง ๆ และด้วยสถานภาพอดีตครูพละของครูเจต ทำให้เขาคิดจะฝึกฝนให้เด็ก ๆ เก่งกีฬา จึงได้เปิดโครงการฝึกกีฬาขึ้น เพื่อให้ชาวบ้านนำลูกหลานมาฝึกกีฬากับเขา และเขายังจะช่วยส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาอีกด้วย
การตระเวนบอกข่าวไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ของครูเจต ได้รับผลตอบรับดีเยี่ยม ชาวบ้านหลายคนเห็นด้วยกับโครงการนี้ ทำให้ครูเจตเกิดแรงฮึด คิดว่าจะต้องเดินทางไปกระจายข่าวนี้ให้ได้มากที่สุด นั่นจึงทำให้ ครูเจต ต้องออกเดินทางไปยังอำเภอต่าง ๆ ในเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลงใต้ไปไกลถึงจังหวัดตาก รวมระยะทางหลายร้อยหลายพันกิโลเมตร ด้วยรถมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ เพียง 1 คัน ซึ่งซ่อมไป ขับไป โดยหวังจะบอกข่าวสารโครงการของเขาในหมู่บ้านปกากะญอต่าง ๆ ให้มากที่สุด ซึ่งหากใครสนใจให้มาเจอกันตามนัดหมายที่บ้านจันทร์
"หลังจากตระเวนแจ้งข่าว เราก็กลับมาบ้านจันทร์ ไปกู้เงินมาสองหมื่นบาทเตรียมไว้รองรับเด็ก ๆ ตั้งใจว่าจะหาของดี ๆ มาให้เด็ก ๆ กินตลอดการฝึกหนักในช่วงอาทิตย์แรก แต่ปรากฏว่าถึงวันนัดหมาย 20 มีนาคม 2552 เราก็รออยู่จนมืดไม่มีใครพาลูกมาหาเราสักคนเดียว" ครูเจต เล่าให้ฟัง
เหตุการณ์วันนั้นทำให้ครูเจตต้องนอนน้ำตาร่วงอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีเด็กมาฝึกสอนกับเขา เพราะกลัวความยากลำบาก แต่เป็นเพราะมีคนพูดว่า ชาวปกากะญอหลายชุมชนไม่กล้าใส่ชุดชนเผ่าเพราะอาย และอยากทำตัวให้กลมกลืนไปกับคนเมือง หลายคนเคยพูดให้ครูเจตได้ยินว่า "ทำไมลูกชายยังใส่เสื้อกะเหรี่ยง อุตส่าห์ไปเรียนจนได้ปริญญา"
แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีเด็กชายชั้น ป.4 คนหนึ่งเดินทางไกลมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อจะมาขอคัดตัวอยู่กับครูเจต ครั้งนั้นครูเจตไม่อาจให้เด็กน้อยอยู่ด้วยได้ เพราะคนไม่พร้อม แต่เด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนี้เอง กลับสร้างความหวังให้ครูเจตขึ้นมาอีกครั้ง เขาตัดสินใจตระเวนไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ เป็นรอบที่สอง เพื่อบอกข่าวอีกครั้ง จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากโบสถ์คริสต์ที่เห็นความตั้งใจจริงของครูเจต ทำให้พ่อแม่ในเริ่มส่งลูกหลานมาคัดตัวเป็นนักกีฬากับครูเจตในที่สุด โดยเริ่มจากชาวบ้านในบ้านจันทร์ที่เขาอาศัยอยู่นั่นเอง
"ผมสัญญากับเขาว่าจะส่งเสียเด็ก ๆ ทุกคนจนสำเร็จปริญญาตรี โดยจะรับผิดชอบค่าเรียน อาหารการกินทุกอย่าง ทางครอบครัวไม่ต้องลำบาก ผมจะสอนกีฬาจะได้ฝึกฝนให้เป็นปกากะญอที่ดี โดยยึดมั่นในหลักการของปกากะญอเราที่สอนถ่ายทอดกันมา ให้นึกถึงคนอื่นก่อนนึกถึงตนเอง และไม่เห็นแก่ตัว"
ครูเจต เล่าว่า แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดที่จะสอนเด็ก ๆ เล่นฟุตบอลให้เก่งได้ไปไกลถึงทีมชาติ แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับพบว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ความเก่งเรื่องกีฬา แต่เด็ก ๆ ต้องมีจริยธรรม และมีความภูมิใจในชาติพันธุ์ปกากะญอของตนเอง เพื่อที่ว่าหากไปอยู่ที่ไหนจะได้ไม่ถูกแสงสี และความเจริญกลืนชีวิตของชนเผ่าจนหายไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็เท่ากับสูญเปล่า
ด้วยเหตุนี้ ครูเจต จึงเน้นสอนจริยธรรมให้เด็ก ๆ ให้อ่านพระคัมภีร์เพื่อขัดเกลาจิตใจ ไม่ให้เด็กดูโทรทัศน์ซึ่งอาจจะนำภาพที่ไม่ดีจากสังคมภายนอกมาถึงตัวเด็ก ๆ เอง แต่ครูเจตจะใช้วิธีอ่านข่าวสารให้ฟังแทน ทุกวันเด็ก ๆ ในความดูแลของครูเจตกว่า 20 ชีวิต ต้องตื่นนอนตีห้าครึ่ง มาสวดมนต์ภาวนา และอบรมจริยธรรม จากนั้นก็กายบริหาร วิ่งออกกำลังกาย และไปโรงเรียนตามปกติ หลังจากกลับมาจากโรงเรียนแล้ว ครูเจตจะสอนวิชาปกากะญอ สอนภาษาปกากะญอให้เด็กไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เพื่อให้เด็ก ๆ ภูมิใจ และไม่อายที่เกิดเป็นลูกหลานปกากะญอ
นอกจากนี้ ในทุกวันสุดสัปดาห์ ครูเจต จะพาเด็ก ๆ ไปร้องเพลงสวดในโบสถ์ต่าง ๆ และยังพาเด็ก ๆ เข้าไปดูวิถีชีวิตของคนเมือง พร้อมแนะนำสั่งสอนไปในตัว เพื่อว่าหากวันใดเด็ก ๆ ต้องเข้ามาอยู่ในเมืองจะได้มีภูมิคุ้มกัน และไม่หลงไปกับกระแสของความศิวิไลซ์
"หลายครั้ง พวกเราไปร้องเพลงโดยไม่มีเงินติดตัวกันเลย แต่ไปด้วยความศรัทธา ผมทำงานนี้มาสองปีแล้ว ไม่เคยของบประมาณจากที่ไหนเลย ทำด้วยตนเองมาตลอด" ครูเจต บอก
ตลอดเวลา 2 ปีที่ครูเจตทุ่มเทกายใจให้กับงานนี้ แม้ไม่ได้เงินตอบแทนสักบาท แต่กลับมีค่าใช้จ่ายมากมาย ซึ่งท้ายที่สุด ทุกปัญหาก็คลี่คลายได้ ซึ่งเขาเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้เพราะ "ศรัทธา" ทำให้บางครั้ง ครูเจตก็มานั่งคิดอยู่คนเดียวว่า หากวันนั้น เขาไม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพครู วันนี้ก็คงไม่ได้พบกับเด็ก ๆ และคงไม่สัมผัสกับความภาคภูมิใจได้มากมายถึงขนาดนี้
และที่สำคัญ การก้าวเดินของครูเจตในครั้งนั้นเอง เป็นการพิสูจน์ว่า เขา "รัก" และ "เทิดทูน" ในความดี และคุณธรรม อันเป็นพื้นฐานของคนปกากะญอมากเหนือสิ่งอื่นใด และไม่ต้องการให้รากเหง้าของชาวปกากะญอถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมวัตถุนิยมอย่างเช่นโลกที่กำลังหมุนไปในปัจจุบัน
ที่มา kapook.com
3 Comments:
คิด ถึง ครู เจต ตอนสอน อยู่ ที่ ดารา จัง เลย ค่ะ
ผมเองก็เป็น คนกะเหรี่ยงครับผมคงไม่ลืมตนเองเพราะผมมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตนเอง ไม่มีใครในโลกนี้ชาติใหนที่ไม่มีวัฒนธรรมหรอกครับเพราะมันเหมือนสิ่งที่ติดตัวเรามา แต่ว่าบางที สิ่งที่จะทำให้เราหลงลืมตัวเราเอง ก็คือ พัฒนาการของสังคม การศึกษา และวิถีชีวิตต่างหากละครับ ไม่รู้ว่าเราจะต่อสู้กับมันได้ใหมเพราะทุกอย่างมันเหมือนดาบสองคมจริงๆครับ บางทีการที่เรานั่งดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมักจะแยกแยะไม่ออกและตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราพูดอย่างที่เราคิดจริงเหรอ
ผมคนหนึ่งละที่กล้าจะไปทุกที่และกล้าจะจะบอกกับหลายๆสายตาว่าผมคือ ปะกายอเพราะผมมีวิถีชีวิตและรักในวัฒนธรรมของผมเป็นที่ตั้ง ธุรกิจจากเล็กๆถึงกระบวนการอย่าให้เข้ามาเลยครับเพราะโทษมันมีเยอะกว่าคุณครับ
กระทู้นี้ถ้าผมเขียนแรงก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ขอบคุณครับ
ลูกหลานกะเหรี่ยงแดง
สามารถติดต่อครูเจต ได้ทางไหนบ้างครับผมตามหาครูมา8ปีแล้วครับ ตอนนั้นผมแข่งบอลให้ครูเจต หลังจากที่กลับจากนครสรรค์ ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ใครพอจะทราบช่วยติดต่อกลับเบอร์นี้ด้วยนะครับ 087-3048365 ยุทธ
แสดงความคิดเห็น