สถานการณ์ปัญหาการพัฒนาสังคมไทยกว่า 50 ปีผ่านมา นับตั้งแต่ประเทศไทยได้ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ เริ่มตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504 – 2509) จนถึงฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน สถานการณ์การพัฒนาในช่วงที่ผ่านมากล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ไม่สมดุลและไม่ยั่งยืน
เนื่องจากประเทศไทยได้ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจเสรีนิยมหรือเศรษฐกิจทุนนิยมที่มุ่งพัฒนาเพื่อสร้างความมั่งคั่งและรายได้มาสู่ประเทศเป็นหลัก และใช้การเติบโตของรายได้ต่อหัวเป็นเครื่องมือวัดผลสำเร็จของการพัฒนา ด้วยความคาดหวังว่าการเพิ่มปริมาณสินค้าและบริการ การเพิ่มการจ้างงาน รวมทั้งประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ในที่สุดแล้วย่อมจะสามารถกระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศทำให้ปัญหา ความยากจนหมดไปได้ในที่สุด
การมุ่งเน้นไปที่การนำทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และความได้เปรียบด้านแรงงานราคาถูกมาใช้สนับสนุนการพัฒนาและขยายฐานการผลิต ซึ่งนำไปสู่การผลิตเพื่อส่งออกและอุตสาหกรรมที่ใช้ทุนและเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ระบบเศรษฐกิจมีการขยายตัวในอัตราสูง แต่เป็นการเติบโตที่ต้องพึ่งพาทุน เทคโนโลยีและตลาดต่างประเทศ จึงส่งผลต่อความไม่สมดุลของโครงสร้างการพัฒนาประเทศ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในเรื่องการกระจายรายได้
ปัญหาความยากจนเพิ่มสูงขึ้น คนจนขาดศักยภาพในการดำรงชีวิต การว่างงานเพิ่มขึ้นและมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนไทยมีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น
การพัฒนาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อประชากรทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงห่างไกลในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ ที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกินและอำนาจในการจัดการป่าไม้ โดยผ่านกระบวนการทางกฎหมาย เช่น การประกาศเป็นเขตป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ทับที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เมื่อมีการประกาศกฎหมายเหล่านี้กลุ่มชาติพันธุ์ได้กลายเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในป่าอย่างผิดกฎหมายทั้งๆที่เคยอยู่อาศัยและตั้งถิ่นฐานทำมาหากินมาก่อนที่รัฐจะประกาศกฎหมาย
ผลกระทบที่ตามมา คือ การอพยพย้ายถิ่นจากพื้นที่สูงลงมาพื้นที่ราบหรือในเมืองใหญ่เพื่อดำรงชีวิตทางเศรษฐกิจให้อยู่รอด หรือถ้ายังดำรงชีวิตในพื้นที่ต่อไปก็จะถูกจำกัดการพัฒนา ถูกข่มขู่จากทางเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นต้น ชุมชนบนพื้นที่สูงต้องแปรสภาพจากผู้อาศัยกลายเป็นผู้บุกรุกพื้นที่ ตกอยู่ในสภาพของความกลัว และท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการถูกบังคับอพยพโยกย้ายมาเป็นแรงงานระดับล่างไร้ฝีมือในเมือง โดยปราศจากทางเลือกในการตั้งถิ่นฐานแต่อย่างใด ภายหลังจากที่กลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชนได้อพยพออกจากที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยแล้ว ที่ดินเหล่านั้นก็ตกอยู่ในการครอบครองของนายทุนและผู้มีอำนาจอย่างถูกต้องทางกฎหมายต่อไป
ปรากฏการณ์เหล่านี้มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ผลของการอพยพย้ายถิ่นจากพื้นที่สูงสู่พื้นที่ราบทำให้กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าไร้ที่อยู่อาศัยไร้ที่ดินทำกิน กลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือเข้าสู่อาชีพบริการทางเพศ ถูกจำกัดสิทธิถูกคุกคามในฐานะการเป็น “คนอื่นของชุมชน” สูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิม ทั้งประเพณีและวัฒนธรรมความเป็นเผ่าพันธุ์และระบบสังคมดั้งเดิมถูกทำลาย ทำให้ศักยภาพของชุมชนอ่อนแอลงจนไม่สามารถดูแลพึ่งพาตนเองได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆติดตามมามากมาย
อาทิ การอพยพโยกย้ายแรงงานจากชุมชนที่สูงเข้าสู่เมืองอันเป็นที่มาของปัญหาสังคม เกิดผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศโดยรวม การติดยาเสพติด โรคเอดส์ เด็กเล็ก เยาวชนและผู้หญิงไร้ที่อยู่อาศัย ขาดอาหาร ขาดคนดูแลเนื่องจากผู้นำครอบครัวถูกจับกุมติดคุก เยาวชนชนเผ่าจำนวนมากถูกระบบใหญ่กลืนกินหลงลืมวิถีชีวิตดั้งเดิมจนไม่สามารถสืบทอดเจตนารมณ์บรรพบุรุษได้ ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียเอกลักษณ์เผ่าพันธุ์